มันเหมือนกับแสดงการวัดผลของ "word of mouth" ใน "ทางที่ดี"
ออกมาให้เห็น ซึ่ง word of mouth นั้นถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสื่อสารทางการตลาด
ที่ได้ชื่อว่า "เกือบจะทรงพลังที่สุด" ที่แสดงให้เห็นว่า สินค้าหรือบริการ
ที่บอกต่อกันปากต่อปากนั้น "ดีหรือไม่ดีแค่ไหน" โดยผ่านการวัดผล
จากการทดลองใช้งานจริง ของ "ตัวกลาง" แต่ละชั้นแต่ละคน ต่อๆกันมา
ซึ่งสรุปได้ว่า ยิ่งมีปริมาณการถูก กด "Like" มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการการันตี
ให้เห็นว่า สินค้าหรือบริการนั้น "ดีมากเท่านั้น" ถึงแม้จะเป็น "Like เทียม" ก็ตาม
เพราะผู้บริโภคไม่ได้รับรู้ถึงที่มาของ "Like" เหล่านั้น พอได้รับรู้ถึง "ความน่าเชื่อถือ"
หรือ " สิ่งที่กำลังเป็นที่สนใจของคนหมู่มาก" ก็เลยอยากทดลองดูมั่ง. เช่น นาย B มีเพื่อน
ในเฟซบุ๊ค 1000 คน บังเอิ๊ญ บังเอิญ มาเข้าเว็บของเรา แล้วทีนี้นาย B เกิดชอบเว็บของเรา
และเหลือบไปเห็นปุ่มไลค์ ในเว็บเรา แล้วนายB ก็กด ไลค์ให้เรา ทีนี้ที่หน้าโฮมของเฟซบุ๊ค
ของเพื่อนนาย B ที่1000คนนั่นน่ะ เขาก็จะเห็น ที่นายB ไปกดไลค์ไว้ ก็เลยตามเข้าไปดูบ้าง
...สมมติเข้าไปดูซัก 200 คนพอนะ ทีนี้ใน 200 คนก็อาจจะมีคนไปกดไลค์ อีกซัก 50 คน ...
ใน 50 คนนี้ก็อาจจะมีเพื่อนในเฟซบุ๊คคนละ 1000 คนเหมือนกัน แล้วก็ วนอยู่อย่างนี้ ไปเรื่อยๆ...
สรุป เว็บเราก็มีโอกาสคนเข้าเพิ่มขึ้น เหมือนๆ การแตกตัวของอะตอม เลยครับ และถ้าเรา
โพสต์อะไรก็ตามที่หน้าแฟนเพจของเรา หรือที่เราโพสต์ไป ก็จะไปโผล่ที่หน้าของคนที่กดไลค์
ให้เรา ก็เป็นการเพิ่มทราฟฟิกได้อีกวิธีหนึ่ง... ต่อไป นอกจากสินค้า และ
บริการของเราจะขายดี
ด้วยแล้ว เรายังไม่ต้องห่วงเรื่องสถานที่จะค้าขาย อีกต่อไป
คือเรา ขาย อยู่ที่บ้านของเราเองซะเลย